เราสามารถเขียนโครงสร้างของเครื่องบันทึกวิดีโอตามลักษณะการทำงานได้กี่สภาวะ
- 2 สภาวะ
- 3 สภาวะ
- 4 สภาวะ
- 5 สภาวะ
ข้อใดคือโครงสร้างของเครื่องบันทึกวิดีโอที่แบ่งตามลักษณะการทำงาน
- ภาคบันทึก
- ภาคเพลย์แบ็ก
- ภาคเซอร์โว
- ถูกทั้งข้อ ก. และ ข.
เครื่องวิดีโอเทปลักษณะใดที่ทำหน้าที่ในการแปลงสัญญาณโทรทัศน์ ให้เป็นสัญญาณวิดีโอ
- ภาคเพลย์แบ็ก
- ภาคทีวีดีมอดกับสปลิตเตอร์
- ภาคเซอร์โว
- ภาคควบคุมระบบการทำงาน
สัญญาณ VHF เราสามารถแบ่งออกได้เป็นกี่ช่องทาง
- 4 ช่องทาง
- 3 ช่องทาง
- 2 ช่องทาง
- 1 ช่องทาง
การควบคุมความเร็วและเฟสนั้นเปรียบเสมือนได้กับสิ่งใด
- นาฬิกา
- เข็มทิศ
- รถยนต์
- ลูกดิ่ง
การดึงร้อยสายที่นิยมให้มอเตอร์ที่เรียกว่าอะไร
- มอเตอร์สำหรับอัพสายเทป
- มอเตอร์สำหรับหมุนสายเทป
- มอเตอร์สำหรับโหลดสายเทป
- มอเตอร์ดึงร้อยสายเทป
ระบบดรัมเซอร์โว ถูกแบ่งออกเป็น 2 ลูป เพื่ออะไร
- ควบคุมเวลาในการบันทึก
- ควบคุมแสง และสี
- ควบคุมจำนวนเทป
- ควบคุมการหมุนของดรัม
Signal Processing หมายถึงอะไร
- กระบวนการบันทึก
- กรรมวิธีแปลงสัญญาณ
- กระบวนการโหลดเทป
- กระบวนการเพลย์แบ็ก
แคปสแตนเซอร์โวใช้ในการควบคุมมอเตอร์ตัวใด
- มอเตอร์ที่หมุนตัวทรงกลม
- มอเตอร์ตัวแคปสแตน
- มอเตอร์สำหรับโหลดสายเทป
- มอเตอร์ที่หมุนตัวทรงกระบอก
ส่วนประกอบของเครื่องวิดีโอเทปชนิดใด ที่มีแกนหมุน 2 แกน สำหรับหมุนสายเทปเรียกว่า แกนจ่ายเทป และแกนรับเทป
- เทปเด็ค
- ดรัมเซอร์โว
- แคปสแตนเซอร์โว
- ถูกทุกข้อ
ส่วนประกอบของเครื่องวิดีโอเทปชนิดใด ที่ใช้ควบคุมมอเตอร์ที่หมุนตัวทรงกระบอก
- เทปเด็ค
- ดรัมเซอร์โว
- แคปสแตนเซอร์โว
- ถูกทุกข้อ
ส่วนประกอบของเครื่องวิดีโอเทปชนิดใด ที่ใช้ควบคุมมอเตอร์ที่หมุนตัวแคปสแตนที่ใช้ดึงสายเทป ให้มีความเร็วและตำแหน่งของการหมุนถูกต้อง
- เทปเด็ค
- ดรัมเซอร์โว
- แคปสแตนเซอร์โว
- ถูกทุกข้อ
ส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในสภาวะใดที่มีการนำเอาสัญญาณวิดีโอไปผ่านกรรมวิธีให้เป็นสัญญาณ FM
- สภาวะเพลย์แบ็ก
- สภาวะบันทึก
- สภาวะเซอร์โวร์
- .สภาวะทีวีมอดูเตอร์
ส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในสภาวะใดที่มีการเหนี่ยวนำพลังงานแม่เหล็กให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า โดยสัญญาณที่ได้ คือ สัญญาณ FM
- สภาวะเพลย์แบ็ก
- สภาวะบันทึก
- สภาวะเซอร์โวร์
- สภาวะทีวีมอดูเตอร์
ข้อใดไม่ใช่หน้าที่สำคัญของระบบเซอร์โว
- รักษาความเร็วของแคปสแตนให้คงที่
- ควบคุมการสวิตซ์เลือกหัวเทปที่เวลาถูกต้องทั้งสภาวะเพลย์แบ็กและบันทึก
- ควบคุมให้สัญญาณวิดีโอบันทึกลงบนสายเทปเป็นเส้นเฉียงตามรูปแบบการบันทึกและสัมพันธ์กับตำแหน่งและการหมุนของหัวเทป
- ถูกทุกข้อ
การผลิตรายการเทปโทรทัศน์ให้มีคุณภาพนั้น จะต้องอาศัยสิ่งใด
- ความรู้และเงิน
- คุณภาพกล้อง และความรู้
- เงิน และเวลาขั้นตอนการผลิต
- ความรู้ทักษะ และเวลาความรู้
รูปแบบที่ใช้ตัดต่อวิดีโอในยุคปัจจุบันสามารถแบ่งได้กี่รูปแบบ
- 2 รูปแบบ
- 3 รูปแบบ
- 4 รูปแบบ
- 5 รูปแบบ
การตัดต่อชนิดใดที่อาศัยเครื่องเล่นวิดีโอเทปในการตัดต่อจำนวน 2 เครื่อง
- แบบ Onear
- แบบ Linear
- แบบ Non Linear
- แบบ Two Linear
การตัดต่อชนิดใดที่อาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์ในการตัดต่อวิดีโอ โดยที่ข้อมูลวิดีโอจะถูกเก็บไว้ที่ฮาร์ดดิสก์
- แบบ Onear
- แบบ Linear
- แบบ Non Linear
- แบบ Two Linear
ข้อใดไม่ใช่ลักษณะที่สำคัญของการตัดต่อ
- การตัดต่อด้วยเครื่องเล่นเทป
- การตัดต่อด้วยเครื่องตัดต่อ
- การตัดต่อโดยการแปลงเนื้อเทป
- การตัดต่อด้วยกล้อง
ลักษณะการตัดต่อแบบใดที่ได้รับความนิยมใช้กันมากที่สุด
- การตัดต่อด้วยเครื่องเล่นเทป
- การตัดต่อด้วยเครื่องตัดต่อ
- การตัดต่อโดยการตัดเนื้อเทปส่วนที่ไม่ต้องการออกทิ้งไป
- การตัดต่อด้วยกล้อง
ลักษณะการตัดต่อแบบใดที่มีการตัดต่อค่อนข้างง่าย แต่ผลงานไม่ค่อยประณีต
- การตัดต่อด้วยเครื่องเล่นเทป
- การตัดต่อด้วยเครื่องตัดต่อ
- การตัดต่อโดยการตัดเนื้อเทปส่วนที่ไม่ต้องการออกทิ้งไป
- การตัดต่อด้วยกล้อง
การตัดต่อด้วยเครื่องเล่นเทป มีลักษณะการตัดต่อเป็นแบบใด
- เป็นวิธีการตัดต่อที่นิยมใช้กันมากที่สุด
- เป็นวิธีการตัดต่อที่ไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะ สิ้นเปลือง
- เป็นการตัดต่อที่เครื่องสามารถควบคุมสัญญาณ Synchronize ได้
- เป็นการตัดต่อที่ค่อนข้างง่าย แต่ผลงานไม่ค่อยประณีต
ลักษณะการตัดต่อแบบใดที่จะต้องใช้เครื่องเล่นที่สามารถควบคุมสัญญาณ Synchronize ได้
- การตัดต่อด้วยเครื่องเล่นเทป
- การตัดต่อด้วยเครื่องตัดต่อ
- การตัดต่อโดยการตัดเนื้อเทปส่วนที่ไม่ต้องการออกทิ้งไป
- การตัดต่อด้วยกล้อง
เทปโทรทัศน์ประเภทใดที่ได้รับความนิยมนำมาใช้กันตามบ้านเรือน
- เทป 2 นิ้ว
- เทป 1 นิ้ว
- เทป U - matic
- เทป VSH และ BETAMAX
เทปโทรทัศน์ประเภทใดที่มีราคาค่อนข้างถูก มีคุณภาพดีพอสมควร และนำมาใช้ในวงการศึกษาได้
- เทป 2 นิ้ว
- เทป 1 นิ้ว
- เทป U - matic
- เทป VSH และ BETAMAX
เทปโทรทัศน์ประเภทใดที่นิยมใช้แพร่ภาพออกอากาศในปัจจุบัน
- เทป 2 นิ้ว
- เทป 1 นิ้ว
- เทป U - matic
- เทป VSH และ BETAMAX
ข้อใดไม่ใช่สิ่งของการเตรียมความพร้อมในการตัดต่อ
- เครื่องตัดต่อ
- จัดเตรียมคิวสำหรับตัดต่อ
- จัดเตรียมม้วนเทปที่ถ่ายเก็บภาพที่ต้องการ
- จัดเตรียมสถานที่ตัดต่อ
วิธีที่ใช้ในการตัดต่อภาพและเสียงมีอยู่ด้วยกันกี่วิธี
- 2 วิธี
- 3 วิธี
- 4 วิธี
- 5 วิธี
Assemble” เป็นการตัดต่อแบบใด
- เป็นการตัดต่อโดยการนำภาพที่ต้องการบางภาพบันทึกทับไปบนภาพที่บันทึกไว้เดิมบางส่วน
- เป็นการตัดภาพมาต่อ ๆ กัน
- เป็นการนำภาพมาต่อ ๆ กัน
- เป็นการลบมาที่ไม่ใช้ออกจาก Frame
การตัดต่อวิธีใดที่มีการนำภาพที่ต้องการบางภาพมาบันทึกไปบนภาพที่บันทึกไว้เดิมบางส่วน
- วิธี Assemble
- Insert
- วิธี Assember
- วิธี Insorting
สัญญาณวิดีโอแบบใดที่เป็นการนำเทปที่ได้บันทึกสอดแทรกเข้าไปในเทปต้นแบบที่บันทึกไว้
- สัญญาณ Assemble
- สัญญาณ Insert
- สัญญาณ Assember
- สัญญาณ Insorting
สัญญาณวิดีโอแบบใด ที่เป็นการเพิ่มเติมภาพเข้าไปตามลำดับที่วางไว้
- สัญญาณ Assemble
- สัญญาณ Insert
- สัญญาณ Assember
- สัญญาณ Insorting
ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง
- อย่าตัดภาพขณะที่กล้องหยุดนิ่ง
- การใส่ CAPTION ควรทอดจังหวะให้ผู้ชมสามารถอ่านได้ทัน
- อย่าตัดภาพลักษณะต่าง ๆ เพียงเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเท่านั้น
- การเปิดฉากใหม่ ควรเริ่มด้วย LONG SHOT
แผ่นที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลของสัญญาณเสียงที่เป็นดิจิตอล คืออะไร
- ฮาร์ดดิสก์
- ทรัมไดร์ฟ
- คอมแพคดิสก์
- ฟลอปปี้ดิสก์
แผ่นที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลของสัญญาณเสียงที่เป็นดิจิตอล ถูกผลิตขึ้นมาจากสารชนิดใด
- อลูมิเนียม
- คาร์บอเนต
- โพลีคาร์บอเนตแมทเทอร์เรียล
- แมคซีเนียม
ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของแผ่นคอมแพคดิสก์
- มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 Cm
- มีความหนาแน่นของแผ่น 1.2 mm
- มีระยะเวลาในการจุข้อมูล 20 นาทีถึง 74 นาที
- มีความยาว 120 Cm
ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของโพลีคาร์บอเนตแมทเทอร์เรียล
- เป็นแผ่นพลาสติกบางใส
- มีลักษณะเป็นวงรี
- ถูกฉาบด้วยแผ่นอลูมิเนียมฟิล์ม
- มีลักษณะเป็นวงกลม
สัญญาณชนิดใดที่ใช้สำหรับการตรวจสอบค่าผิดพลาดของข้อมูลที่เป็นสัญญาณเสียงดิจิตอล โดยจะทำการเอาข้อมูลของสัญญาณเสียงดิจิตอลที่เป็น 1 มาทำการนับ
- สัญญาณเออเร่อร์ คอเลคชั่น
- สัญญาณซิงโครไนเซชั่น ซิกแนล
- สัญญาณเสียงที่ถูกเปลี่ยนจากอะนาล็อก ให้เป็นดิจิตอล
- สัญญาณคอนโทรลซิกแนล
สัญญาณชนิดใดที่ใช้ในการบอกจุดเริ่มต้นในแต่ละเฟรม
- สัญญาณเออเร่อร์ คอเลคชั่น
- สัญญาณซิงโครไนเซชั่น ซิกแนล
- สัญญาณเสียงที่ถูกเปลี่ยนจากอะนาล็อก ให้เป็นดิจิตอล
- สัญญาณคอนโทรลซิกแนล
สัญญาณชนิดใดเป็นสัญญาณที่ถูกบันทึกอยู่รอบนอกสุดของแผ่นดิสก์ที่ใช้สำหรับบอกจุดสิ้นสุดของแผ่น
- สัญญาณ LET OUT
- สัญญาณซิงโครไนเซชั่น ซิกแนล
- สัญญาณ TOC
- สัญญาณคอนโทรลซิกแนล
สัญญาณชนิดใดที่ทำหน้าที่ในการบอกความจุของแผ่นว่ามีกี่เพลง ใช้เวลาในการบันทึกกี่นาที
- สัญญาณ LET OUT
- สัญญาณซิงโครไนเซชั่น ซิกแนล
- สัญญาณ TOC
- สัญญาณคอนโทรลซิกแนล
รูปแบบของการอ่านของมูลจากแผ่นดิสก์มีลักษณะเป็นอย่างไร
- เป็นรูปก้นกบ
- เป็นรูปก้นกก
- เป็นรูปก้นหอย
- เป็นรูปวงกลม
Start of Track” คืออะไร
- ข้อมูลที่บอกจุดเริ่มต้นของแทร็ก
- หมายเลขหรือตำแหน่งของแทร็ก
- สัญญาณระดับความถี่
- เวลาในการเล่น, เวลาที่เหลืออยู่, เวลารวม
DE - Emphasis” คืออะไร
- ข้อมูลที่บอกจุดเริ่มต้นของแทร็ก
- หมายเลขหรือตำแหน่งของแทร็ก
- สัญญาณระดับความถี่
- เวลาในการเล่น, เวลาที่เหลืออยู่, เวลารวม
Number of Track” คืออะไร
- ข้อมูลที่บอกจุดเริ่มต้นของแทร็ก
- หมายเลขหรือตำแหน่งของแทร็ก
- สัญญาณระดับความถี่
- เวลาในการเล่น, เวลาที่เหลืออยู่, เวลารวม
1 ซิมโบล มีข้อมูลดิจิตอลกี่บิท
- 6 บิท
- 7 บิท
- 8 บิท
- 9 บิท
VCD มีชื่อย่อเต็มว่าอะไร
- Vedeo Copplex Disc
- Video Compact Disc
- Video Camplex Disc
- Vedeo Conoplex Disc
การผลิตซีดีถูกผลิตขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. ใด
- ค.ศ. 1980
- ค.ศ. 1981
- ค.ศ. 1982
- ค.ศ. 1983
ซีดีถูกผลิตขึ้นโดยบริษัทใดเป็นครั้งแรก
- บริษัท Sumsung
- บริษัท Sony
- บริษัท Philips
- ถูกทั้งข้อ ข. และ ค.
CD Digital Audio ถูกจัดมาตรฐานได้ชื่อว่าอะไร
- สมุดปกแดง
- สมุดปกเขียว
- สมุดปกเหลือง
- สมุดปกชมพู
แผ่นซีดีมีความจุเท่าใด ที่ใช้สำหรับเก็บไฟล์วิดีโอที่มีความยาวประมาณ 74 นาที
- 670 MB
- 770 MB
- 650 MB
- 700 MB
แผ่นซีดีมีความจุเท่าใด ที่ใช้สำหรับเก็บไฟล์วิดีโอที่มีความยาวประมาณ 80 นาที
- 670 MB
- 770 MB
- 650 MB
- 700 MB
ภาพยนตร์จะใช้อัตราความเร็วในการฉายเท่าใด
- 24 เฟรม/วินาที
- 30 เฟรม/วินาที
- 22 เฟรม/วินาที
- 32 เฟรม/วินาที
วิดีโอระบบ NTSC จะใช้อัตราความเร็วในการฉายเท่าใด
- 24 เฟรม/วินาที
- 30 เฟรม/วินาที
- 22 เฟรม/วินาที
- 32 เฟรม/วินาที
ข้อใดคือหน้าที่ของ Motion Compensated หรือ MC
- ปรับผลของเฟรม
- จัดกลุ่มภาพที่เหมือนกันรวมกันไว้
- จัดกลุ่มภาพที่มีความแตกต่างกันไว้
- เป็นการปรับความสมดุลของภาพ
เราสามารถแบ่งรหัสภาพออกได้กี่ชนิด
- 2 ชนิด
- 3 ชนิด
- 4 ชนิด
- 5 ชนิด
รหัสภาพชนิดใดที่ใช้ในการเข้ารหัสโดยใช้เพียงการตรวจจับภาพในทิศทางเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
- รหัสทำนายภาพ
- รหัสทำนายภาพสองทิศทาง
- รหัสภายใน
- รหัสภายนอก
รหัสภาพชนิดใดที่ใช้ในการเข้ารหัสโดยใช้เวกเตอร์ของการเคลื่อนที่ทั้งในทิศทางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าและย้อนกลับร่วมกัน
- รหัสทำนายภาพ
- รหัสทำนายภาพสองทิศทาง
- รหัสภายใน
- รหัสภายนอก
มาตรฐานของ CD-ROM ตรงกับข้อใด
- Blue Book
- Yellow Book
- Red Book
- Write Book
VIDEO-CD ใช้วิธีการเข้ารหัสแบบใด
- MPEG-1
- MJPEG
- Digital
- Analog
ข้อใดเป็นลักษณะของระบบ MATV
- เป็นการป้อนสัญญาณวิทยุไปยังจุดต่าง ๆ
- เป็นการป้อนสัญญาณโทรทัศน์ไปยังจุดต่าง ๆ
- เป็นการทวนสัญญาณวิทยุไปยังตามบ้านเรือน
- ถูกทั้งข้อ ก. และ ข.
สถานที่ใดที่ไม่ได้มีการใช้ระบบ “MATV”
- บ้านเรือน
- อพาร์ตเมนต์
- โรงแรม
- คอนโดมิเนียม
ข้อใดไม่ใช่โครงสร้างของสายอากาศ
- ตัวรับคลื่น
- ตัวสะท้อนคลื่น
- ตัวกระจายคลื่น
- ตัวนำคลื่น
“VSWR” คืออะไร
- อัตราส่วนระหว่างค่าสูงสุดและค่าต่ำสุดของโวลตเตจในคลื่นยืน ในสายนำสัญญาณ
- เป็นรูปแบบแพทเทิร์นที่แสดงความสามารถในการกระจายคลื่นออกไป หรือในการรับคลื่นเข้ามาของสายอากาศ
- เป็นอัตราการขยายค่าแสดงความสามารถในการรับกำลังคลื่นของสายอากาศ
- ผิดทุกข้อ
สายนำสัญญาณชนิดใดที่นำมาใช้ในระบบ MATV
- สายทวินลิด
- สายโคแอกเชี่ยล
- สายอิมพีแดนซ์
- ผิดทุกข้อ
ชนิดของแอมปลิไฟเออร์เราสามารถแบ่งออกได้กี่ชนิด
- 2 ชนิด
- 3 ชนิด
- 4 ชนิด
- 5 ชนิด
ชนิดของแอมปลิไฟเออร์ใด ที่เป็นเครื่องขยายสัญญาณหลาย ๆ แบนด์ในเครื่องเดียวกัน
- แชนเนลแอมปลิไฟเออร์
- มัลติแบนด์แอมปลิไฟเออร์
- ปรีแอมปลิไฟเออร์
- บูสเตอร์
ชนิดของแอมปลิไฟเออร์ใด ที่เป็นเครื่องขยายสัญญาณที่ใช้ขยายสัญญาณจากสายอากาศที่มีกำลังอ่อนชั้น
หนึ่งก่อน
- แชนเนลแอมปลิไฟเออร์
- มัลติแบนด์แอมปลิไฟเออร์
- ปรีแอมปลิไฟเออร์
- บูสเตอร์
ชนิดของแอมปลิไฟเออร์ใด ที่เป็นเครื่องขยายสัญญาณแบบขยายความถี่ในช่องกว้าง
- แชนเนลแอมปลิไฟเออร์
- มัลติแบนด์แอมปลิไฟเออร์
- ปรีแอมปลิไฟเออร์
- บูสเตอร์
ข้อใดเป็นหลักที่ควรยึดในการเลือกใช้แอมปลิไฟเออร์
- อัตราขยาย
- เอาท์พุตสูงสุด
- Noise Figure
- ถูกทุกข้อ
อุปกรณ์แยกสัญญาณเราสามารถแบ่งออกได้กี่ชนิด
- 2 ชนิด
- 3 ชนิด
- 4 ชนิด
- 5 ชนิด
ข้อใดไม่ใช่ประเภทของอุปกรณ์แยกสัญญาณ
- สปลิตเตอร์
- แท็ปออฟ
- บูสเตอร์
- ผิดทุกข้อ
อุปกรณ์แยกสัญญาณชนิดใดที่เป็นอุปกรณ์แยกสัญญาณขาเข้าออก เป็นสัญญาณที่มีขนาดเท่า ๆ กัน
- แท็ปออฟ
- บูสเตอร์
- สปลิตเตอร์
- ปรีแอมปลิไฟ
อุปกรณ์แยกสัญญาณชนิดใดที่เป็นอุปกรณ์ดยการแบ่งเพาเวอร์ส่วนหนึ่งไปยังสายย่อย
- แท็ปออฟ
- บูสเตอร์
- สปลิตเตอร์
- ปรีแอมปลิไฟเออร์
ข้อใดเป็นคุณสมบัติของแท็ปออฟ
- สามารถให้แรงกระแสไฟฟ้าได้น้อย
- สามารถให้แรงไฟกระแสสลับ
- สามารถให้แรงไฟกระแสตรง ผ่านจุด IN-OUT ได้
- สามารถให้แรงไฟฟ้าได้ทุกเส้นทาง
คุณสมบัติการทำงานของแท๊ปออฟชนิดใดที่เป็นอุปกรณ์ที่ปลายสายสุดของระบบ MATV
- หัวต่อแบบต่าง ๆ
- บูสเตอร์
- เอาต์เลตทีวี
- แท๊ปออฟ
ขั้วปลั๊กเอาต์เลตโดยทั่วไป เราสามารถแบ่งออกได้กี่แบบ
- 2 แบบ
- 3 แบบ
- 4 แบบ
- 5 แบบ
ข้อใดคือหน้าที่การทำงานอุปกรณ์ที่ปลายสายสุดของระบบ MATV
- จะมีการนำพาสัญญาณโทรทัศน์ และเอฟเอ็มมารอไว้ที่ขั้วปลั๊กเอาต์เลต
- จะมีการนำพาสัญญาณไฟเข้าไป
- จะมีการนำสัญญาณเอเอ็มมารอไว้ที่ขั้วปลั๊กอนุกรม
- ผิดทุกข้อที่กล่าวมา
ข้อใด คือคุณสมบัติของการเลือกใช้ฟิลเตอร์และคอมไบเนอร์ที่ดี
- ในช่วงที่ให้ความถี่ผ่านจะต้องมีการลดทอนสัญญาณต่ำ
- มีการเปลี่ยนแปลงของค่าการลดทอนากช่วงที่ให้ผ่านกับช่วงที่ไม่ให้ผ่านในอัตราที่สูง
- มีการเปลี่ยนแปลงของค่าสัญญาณที่ต่ำไปที่สูง
- ทั้งทั้งข้อ ก. และ ข.
ข้อใดคือคุณสมบัติของหลักการออกแบบระบบ MATV
- ระดับสัญญาณจะต้องอยู่ในช่วงที่หมาะสม
- ระดับของอัตราส่วนจะต้องสูงเพียงพอ
- จะต้องไม่มีภาพซ้อนปรากฏบนจอทีวี
- ถูกทุกข้อ
อุปกรณ์ที่ใช้ระหว่างการเดินทางของสัญญาณชนิดใดที่ใช้เป็นเครื่องขยายสัญญาณในสายเมนใหญ่ หรือสายทรังค์เพียงอย่างเดียว
- ทรังค์บริดจิ้งแอมปลิไฟเออร์
- ทรังค์แอมปลิไฟเออร์
- เอกซ์เทนชั่นแอมปลิไฟเออร์
- สปริตเตอร์และแท๊ปออก
ข้อใดไม่ใช่อุปกรณ์ที่ใช้ระหว่างการเดินทางของสัญญาณ
- ทรังค์บริดจิ้งแอมปลิไฟเออร์
- เครื่องป้องกันฟ้าผ่า
- เอกซ์เทนชั่นแอมปลิไฟเออร์
- บูสเตอร์
ข้อใดคือลักษณะของสารไดอิเล็กตริกที่จะใช้
- เป็นโพลีเอทีลีนแบบโฟม
- จะมีฉนวนหุ้มภายนอก
- จะมีความเหนียวและทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศ
- ถูกทุกข้อที่กล่าวมา
ระบบ CATV เป็นระบบที่มีการส่งสัญญาณทีวีผ่านสายนำสัญญาณไปให้ใคร
- หมู่บ้าน
- อพาตเมนต์
- โรงแรม
- คอนโดมิเนียม
ข้อใดเป็นเป้าหมายที่สำคัญในการเลือกสายอากาศและตำแหน่งติดตั้งสายอากาศ
- ระดับสายสัญญาณของช่องต่าง ๆ ที่ได้รับต้องสูงกว่า
- ระดับสัญญาณของช่องต่าง ๆ ที่ได้รับจะต้องไม่แตกต่างกันมาก
- สัญญาณที่ได้รับจะต้องไม่มีสัญญาณรบกวนต่าง ๆ ปะปนเข้ามา
- ถูกทุกข้อ
ข้อใดคือคุณสมบัติทางไฟฟ้าของอุปกรณ์ทั้งหมดในระบบ
- จะต้องไม่ปล่อยให้คลื่นรบกวนออกไปในระดับที่เป็นปัญหา
- คุณภาพของสัญญาณที่ออกจากสปลิตเตอร์
- ผลคูณของอุณหภูมิรอบ ๆ จะทำงานได้ถึง 45 องศา
- ถูกทุกข้อที่กล่าวมา
Lighthing Arrestor หมายถึงข้อใด
- เป็นเครื่องนำสัญญาณ
- เป็นเครื่องแปลงสัญญาณ
- เป็นเครื่องป้องกันฟ้าผ่า
- เป็นเครื่องกระจายสัญญาณ
ระดับคุณภาพสัญญาณเอาต์เลตทีวีในระบบ CATV มีระดับสัญญาณอยู่ที่เท่าใด
- 70 - 75 dB
- 80 - 95 dB
- 65 - 80 dB
- 90 - 100 db
การติดตั้งเสายึดสายอากาศในระบบ MATV เราจะต้องใช้สิ่งใดในการยึดตัวสายอากาศเข้ากับเสายึด
- U - bolt
- V - bolt
- C - bolt
- J - bolt
ข้อใดเป็นหลักการในการติดตั้งเสาอากาศ
- สายอากาศที่เลือกใช้จะต้องมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเหมาะสับหรับเงื่อนไขของบริเวณที่ทำการติดตั้ง
- ในกรณีที่บริเวณที่ทำการติดตั้งสายอากาศมีระดับสัญญาณต่ำ
- การติดตั้งเสายึดสายอากาศ
- ถูกทุกข้อ
ข้อใดไม่ใช่โครงสร้างที่สำคัญในการออกแบบและติดตั้งเสาสูง
- ส่วนที่เป็นฐาน
- ส่วนที่เป็นตัวเสาสูง
- ส่วนที่เป็นสายยึด
- ส่วนที่เป็นตัวล่อ
ข้อใดกล่าวถูกต้อง
- การร้อยสายจะต้องร้อยครั้งเดียว จะร้องเสริมภายหลังไม่ได้
- ต้องแยกท่อร้อยสายของ MATV ออกจากสายไฟฟ้ากำลังหรือสายของระบบเสียง
- ต้องหลีกเลี่ยงการต่อสายโคแอ็กเชี่ยลในช่วงที่อยู่ในท่อร้อยสาย
- ถูกทุกข้อ
เลนซ์ชนิดใดที่เหมาะสมสำหรับในการใช้ภายในอาคารที่มีแสงสว่างสม่ำเสมอ
- เลนส์ปรับม่านรับแสงอัตโนมัติ
- เลนส์ธรรมดา
- เลนส์ดึงภาพ
- เลนส์ซูม
Video Switcher คือข้อใด
- เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการสลับภาพจากกล้องโทรทัศน์หลาย ๆ กล้อง มายังจอภาพเดียว
- เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการขยายภาพจากกล้องโทรทัศน์
- เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเดินสายสัญญาณภาพจากกล้องทุกตัวมายังเครื่องสลับภาพ
- เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการสลับภาพการทำงานภายใต้ระบบไมโครโปรเซสเซอร์
ข้อใดคือความสามารถของเครื่องสลับภาพแบบ MULTI-COAX VIDEO SWITCHER
- ควบคุมด้วยรีโมทคอนโทรลไร้สาย
- มีหมายเลขประจำกล้องปรากฏบนจอมอนิเตอร์
- มี วัน เดือน ปี และเวลา ปรากฏบนจอมอนิเตอร์
- ถูกทุกข้อ
ม้วนเทปชนิดใดที่ใช้ในการบันทึกภาพได้นานถึง 240 นาที
- E - 240
- B - 240
- O - 240
- V - 240
ข้อใดไม่ใช่อุปกรณ์ประกอบการทำงานในระบบ CCTV
- อุปกรณ์ส่งและรับสัญญาณภาพด้วยระบบคลื่นวิทยุ
- อุปกรณ์รับส่งสัญญาณในระบบเครือข่าย ISBN
- อุปกรณ์ส่งและรับสัญญาณภาพด้วยระบบเคเบิ้ลใยแก้ว
- อุปกรณ์กระจายสัญญาณภาพ
ตัวเก็บประจุชนิดใดที่ไม่ควรใช้ในวงจรตั้งเวลา
- ก.พลาสติกฟิล์ม
- ข.โพลี่สไตรีน
- ค.โพลี่คาบอเนต
- ง.เซรามิค
หลังจากขา 2 ทริกเกอร์จุดชนวนอินพุตแล้ว ทำให้เกิดการหน่วงสัญญาณหลายไมโครวินาที ซึ่งจะทำให้ได้ความกว้างของเอาต์พุตพัลส์ต่ำสุดมีค่าเท่าใด
- ก. 1 µS
- ข. 5 µS
- ค. 10 µS
- ง. 15 µS
- จ. 20 µS
แรงดันเอาต์พุตที่เกิดขึ้นสำหรับเอาต์พุตระดับสูง มีศักดิ์ไฟฟ้าประมาณเท่าใด
- ก. 1 V
- ข. 1.7 V
- ค. 1.8 V
- ง. 2V
- จ. 2.7 V
จากโครงสร้างการทำงานของไอซีเบอร์ 555 Rt ต้องมีค่ามากกว่า 10 K เพราะเหตุใด
- ก. 10 V
- ข. 20 V
- ค. 50 V
- ง. 70 V
- จ. 100 V
ไอซีเบอร์ 555 จะทำงานที่แรงดันไฟกี่โวลท์
- ก. 3V-9V
- ข. 5V-10V
- ค. 5V-15V
- ง. 10V-15V
- จ. 10V- 20V
ไอซีเบอร์ 555 ขาเอาต์พุตคือขาใด
- ก. ขา 5
- ข. ขา 6
- ค. ขา 3
- ง. ขา 1
- จ. ขา 8
หากต้องการให้เอาต์พุตอยุ่ในระดับต่ำ ต้องป้อนศักดิ์ไฟฟ้าที่ขาใด
- ก. ขา 2
- ข. ขา 4
- ค. ขา 6
- ง. ขา 7
- จ. ขา 8
การทำงานของวงจรแบบโมโนสเตเบิ้ลและแบบอะสเตเบิ้ลของขา 8 ไฟเลี้ยง ทรานซิสเตอร์ตัวนี้จะทำหน้าที่เป็นอะไร
- ก.สวิตช์
- ข.ตัวต้านทาน
- ค.ตัวเก็บประจุ
- ง.ตัวตัดวงจร
- จ.สัญญาณจุดชนวน
เมื่อทรานซิสเตอร์ทำงานในภาวะอิ่มตัว ศักดิ์ไฟฟ้าที่ขา 7 จะมีค่าเท่าใด
- ก. เบอร์ 74121
- ข. เบอร์ 74122
- ค. เบอร์ 74123
- ง. เบอร์ 7555
- จ. เบอร์ 74355
ความกว้างของพัลส์ที่จะจุดชนวนขา 2 มีค่าเท่าใด
ก. 0.1 ms
- ก. 0.1 ms
- ค. 0.1 µS ข. 1 µS ขึ้นไป
- ค. 0.1 µS
- ง. 1 ms
- จ. 1 ms ขึ้นไป
แรงดันที่จะมาจุดชนวนขา 2 มีค่าเท่าใด
- ก. 1/2 ของ Vcc
- ข. 1/3 ของ Vcc
- ค. ¼ ของ Vcc
- ง. เท่าใดก็ได้แต่ไม่เกิน Vcc
- จ.ไม่มีข้อใดถูก
ค่าต่ำสุดของตัวเก็บประจุมีค่า 100PF กำหนดขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ใด
- ก.เพื่อป้องกันผลที่เกิดจากความจุค้าง
- ข.เพื่อป้องกันกระแสที่ไหลเข้ามากเกินไป
- ค.เพื่อป้องกันตัวเก็บประจุชำรุด
- ง.เพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน
- จ.เพื่อไม่ต้องการให้ความกว้างของพัลส์มากเกินไป
ขาเทรสโฮล (ขา 6) มีความไวต่อระดับแรงดันเท่าใด
- ก. 1/2 ของ Vcc
- ข. 1/3 ของ Vcc
- ค. ¼ ของ Vcc
- ง. เท่าใดก็ได้แต่ไม่เกิน Vcc
- จ. 2/3 ของ Vcc
ไอซี ซีมอสเบอร์ใด ที่ใช้แทนไอซีเบอร์ 555 ได้
- ก. เบอร์ 74121
- ข. เบอร์ 74122
- ค. เบอร์ 74123
- ง. เบอร์ 7555
- จ. เบอร์ 74355
สำหรับการทำงานโดยทั่วไป สัมประสิทธิ์ต่ออุณหภูมิของตัวต้านทานที่ใช้ควรใช้อยู่ในช่วงใด
- ก. 100-300 ppm/°c
- ข. 100-500 ppm/°c
- ค. 200-500 ppm/°c
- ง. 200-700 ppm/°c
- จ. 500-700 ppm/°c
ตัวเก็บประจุชนิดใดไม่ควรใช้
- ก.พสาสติกฟิล์ม
- ข.โพลี่สไตรีน
- ค.พาลี่รีน
- จ.อิเล็กโทรลิติก
ข้อใดไม่จัดอยู่ในข้อดีของไอซีเบอร์ 7555
- ก.การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิทำได้อย่างรวดเร็ว
- ข.กินไฟน้อยกว่ามาก
ค.ใช้งานเป็นวงจรอะสเตเบิ้ลได้กับความถี่สูง - ค.ใช้งานเป็นวงจรอะสเตเบิ้ลได้กับ ความถี่สูง
- ง.อินพุตดึงกระแสน้อยมาก
- จ.ใช้กับแรงดันไฟเลี้ยงได้กว้างมาก
เพราะเหตุใดไอซี 555 จึงนิยมนำมาสร้างเป็นวงจรตั้งเวลา
- ก.ใช้กับแรงดันไฟเลี้ยงได้กว้างมาก
- ข.ราคาถูกหาซื้อง่าย
- ค.กินไฟน้อยกว่า
- ง.หน่วงเวลาได้ดี
- จ.ถูกทุกข้อ
169.ไอซีเร็กกูเลเตอร์ ทำหน้าที่อย่างไร
- ก.รักษาระดับกระแสให้คงที่
- ข.ปรับค่าความต้านทานของไดโอด
- ค.ลดความกว้างของพัลส์ที่เอาต์พุต
- ง.รักษาแรงดันที่เอาต์พุตของแหล่งจ่ายไฟให้คงที่
- จ.รักษาสัดส่วนของแรงดันอ้างอิง
ลักษณะพื้นฐานของ IC เร็กกูเลเตอร์มีกี่ชนิด
- ก. 1 ชนิด
- ข. 2 ชนิด
- ค. 3 ชนิด
- ง. 4 ชนิด
- จ. 5 ชนิด
ไอซีเบอร์ 78L05 จะมีแรงดัน เอาต์พุตกี่โวลต์
- ก. 5 V
- ข. 6 V
- ค. 9 V
- ง. 10 V
- จ. 12V
วงจรเร็กกูเลเตอร์แบบขนานมีหน้าที่อย่างไร
- ก.จำกัดกระแสที่จะไหลผ่านวงจรทั้งหมด
- ข.จำกัดกระแสที่จะไหลผ่านวงจรเร็กกูเลเตอร์
- ค.จำกัดกระแสที่จะไหลผ่านวงจรทั้งหมดของทราซิสเตอร์
- ง.จำกัดแรงไบอัสที่จะไหลผ่านวงจรทั้งหมด
- จ.จำกัดแรงไบอัสกลับที่จะไหลผ่านวงจรเร็กกูเลเตอร์
.แผนผังวงจรเร็กกูเลเตอร์แบบอนุกรม สามารถแบ่งได้เป็นกี่ภาค
- ก. 2 ภาค
- ข. 3 ภาค
- ค. 4 ภาค
- ง. 5 ภาค
- จ. 6 ภาค
ค่าโหลดที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยจะมีผลต่อแรงดันเอาต์พุตของไอซีหรือไม่ เพราะเหตุใด
- ก.ไม่มี เพราะไอซีจะรักษาระดับแรงดันให้คงที่
- ข.ไม่มี เพราะโหลดจะไม่มีผลต่อไอซี
- ค.มี ถ้าโหลดกับกระแสต่างกันค่อนข้างมาก
- ง.มี เพราะไอซีแต่ละเบอร์จะต้องการโหลดที่ไม่เหมือนกัน
- จ.ไม่สามารถระบุได้
175.เร็กกูเลเตอร์แบบสวิตช์ชิ่ง ตัวทรานซิสเตอร์ภายในทำหน้าที่อะไร
- ก.ตัวควบคุมกระแส
- ข.ตัวควบคุมแรงดัน
- ค.เป็นทางผ่านกระแส
- ง.เป็นสวิตซ์ปิดเปิด
- จ.เป็นตัวควบคุมไบอัส
176.ไอซีเร็กกูเลเตอร์สามขาชนิดจ่านแรงดันคงที่ ต่างจากไอซีเร็กกูเลเตอร์ ชนิดปรับค่าอย่างไร
- ก.มีวงจรขยายแรงดัน
- ข.มีวงจรป้อนกลับ
- ค.มีวงจรขยายกระแส
- ง.เป็นวงจรไม่ซับซ้อน
- จ.มีวงจรเรียงกระแส
ซีรีส์พาสทรานซิสเตอร์ทำหน้าที่อย่างไร
ก.จำกัดแรงไบอัสกลับที่จะไหลผ่านวงจรเร็กกูเลเตอร์
- ก.จำกัดแรงไบอัสกลับที่จะไหลผ่านวงจรเร็กกูเลเตอร์
- ข.รักษาระดับกระแสให้คงที่
- ค.จ่ายกระแสเอาต์พุตให้เพียงพอกับความต้องการของโหลด
- ง.ปรับค่าความต้านทานของไดโอด
- จ.รักษาสัดส่วนของแรงดันอ้างอิง
จุดเด่นของไอซีเร็กกูเลเตอร์ค่าคงที่ คือ
- ก.สามารถต่อวงจรได้ง่าย
- ข.ต้องต่อกับอุปกรณ์ภายนอกเพิ่มเติม
- ค.มีความถี่สูง
- ง.มีขาต่อใช้งานสามขา
- จ.สามารถจ่ายแรงดันที่ที่ยังไม่ได้เร็กกูเลทได้
179.อุปกรณ์ใดสามารถป้องกันการเกิดออสซิเลทที่ความถี่สูงได้ดี
- ก.ไดโอด
- ข.เร็กกูเลเตอร์
- ค.อินเวอร์ติ้ง
- ง.ประจุอิเล็กทรอนิกส์
- จ.ประจุอิเล็กทรอไลต์
วงจรเร็กกูแตอร์แบบสวิตช์ชิ่งมีหลักการทำงานอย่างไร
- ก.จะทำงานในลักษณะอิ่มตัวเป็นตัวเปิดปิดการไหลของกระแส
- ข.มีวงจรกรองแรงดันให้เรียบขึ้น
- ค.ถ้าโหลดมีค่ามากก็จะกินไฟมาก
- ง.ต่อวงจรได้ง่าย
- จ.ถูกทุกข้อ
การป้องกันการเกิดออสซิเลทที่ความถี่สูง ทำได้อย่างไร
- ก.ต่อตัวเก็บประจุเข้าทางเอาต์พุต
- ข.ต่อตัวเก็บประจุเข้าทางอินพุต
- ค.ต่อโวลต์เตจเร็กกูเลเตอร์เข้าแหล่งจ่าย
- ง.ใช้วงจรกรองกระแสที่เอาต์พุต
- จ.เพิ่มแรงดันที่เอาต์พุต
ออปแอมป์เป็นวงจรใด
- ก.วงจรกระแส
- ข.วงจรขยาย
- ค.วงจรแรงดัน
- ง.วงจรบัฟเฟอร์
- จ.วงจรวงจรเปรียบเทียบสัญญาณ
ข้อใดคือคุณสมบัติของออปแอมป์
- ก.มีอัตราขยายเป็นอนันต์
- ข.มีอิมพุตอิมพีแดนซ์เป็นอนันต์
- ค.มีเอาต์พุตอิมพีแดนซ์เป็นอนันต์
- ง.ความกว้างของแบนด์วิดท์เป็นอนันต์
- จ.ถูกทุกข้อ
ข้อใดไมใช่วงจรภายในของออปแอมป์
- ก.วงจรขยายดิฟเฟอเรนเชียลด้านทางเข้า
- ข.วงจรขยายดิฟเฟอเรนเชียลภาคที่สอง
- ค.วงจรขยายเร็กกูเลเตอร์
- ง.วงจรเลื่อนระดับ
- จ.วงจรขยายกำลังด้านทางออก
ออปแอมป์ตอบสนองความถี่ที่ช่วงใด
- ก. 0 Hz – 1 kHz
- ข. 0 Hz – 10 kHz
- ค. 0 Hz – 1 MHz
- ง. 0 Hz – อนันต์
- จ. 0 Hz – 5 kHz
ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติของออปแอมป์ในทางอุดมคติ
- ก.การทำงานขึ้นอยุ่กับอุณหภูมิ
- ข.อัตราการขยายสูงมากเป็นอนันต์
- ค.ความกว้างของแบนด์วิดท์ในการขยายสูงมาก
- ง.อินพุตอิมพีแดนซ์เป็นอนันต์
- จ.เอาต์พุตอิมพีแดนซ์เป็นอนันต์
เมื่อต้องการลดการขยายของออปแอมป์ ต้องทำอย่างไร
- ก.ไบอัสกลับ
- ข.ป้อนไบอัสตรง
- ค.ตัดการขยายกำลัง
- ง.ป้อนกลับ
- จ.ป้อนสัญญาณเข้าที่ขาเฟส
ข้อใดคือข้อดีของออปแอมป์
- ก.สามารถขยายสัญญาณได้ทั้งไฟ กระแสสลับ และไฟกระแส
- ข.สามารถขยายสัญญาณไฟกระแสสลับได้สูง
- ค.สามารถขยายสัญญาณไฟกระแสตรงได้สูง
- ง.สามารถขยายได้กว้าง
- จ.สามารถขยายสัญญาณไฟ
ออปแอมป์มีความแตกต่างจากไอซีลิเนียร์โดยทั่วไป คือข้อใด
- ก.ออปแอมป์มีอินพุต 1 ทาง เอาต์พุต 1 ทาง
- ข.ออปแอมป์มีอินพุต 2 ทาง เอาต์พุต 1 ทาง
- ค.ออปแอมป์มีอินพุต 1 ทาง เอาต์พุต 2 ทาง
- ง.ออปแอมป์มีอินพุต 2 ทาง เอาต์พุต 2 ทาง
- จ.ออปแอมป์มีอินพุต 1 ทาง เอาต์พุต 3 ทาง
วงจรขยายออปแอมป์สามารถที่จะกำหนดอัตราการขยายของวงจรได้ โดยการใช้วงจรใด
- ก.วงจรขยายแบบต่อตรง
- ข.วงจรนอนอินเวอร์ติ้ง
- ค.วงจรเนกาตีฟฟีดแบ็ค
- ง.วงจรอินเวอร์ติ้ง
- จ.วงจรตัวต้านทานป้อนกลับ
เราสามารถนำออปแอมป์มาใช้ขยายสัญญาณไดกี่แบบ
- ก. 2 แบบ
- ข. 3 แบบ
- ค. 4 แบบ
- ง. 5 แบบ
- จ. 6 แบบ
วงจรบัฟเฟอร์มีหน้าที่อย่างไร
- ก.ขยายสัญญาณของออปแอมป์
- ข.ป้อนกระสเข้าไปที่ขาอินเวอร์ติ้ง
- ค.ลดอัตราการขยายของกระแส
- ง.เป็นวงจรที่ใช้เชื่อมวงจรสองวงจรเข้าด้วยกัน
- จ.ทำให้วงจรอื่นมีผลต่างไปจากเดิม
วงจรออปแอมป์แบบกลับเฟสเป็นอย่างไร
- ก.มีการป้อนกลับสัญญาณเข้าทางขาอินเวอร์ติ้งอินพุต
- ข.มีการป้อนสัญญาณไฟสลับควบคุมเฟส
- ค.มีการป้อนสัญญาณไฟตรงให้กับ R1
- ง.ใช้ R3 ควบคุมเฟส
- จ.ถูกทุกข้อ
ในเครื่องเสียงมีระบบแยกความถี่ของเครื่องขยายกี่แบบ
- ก. 2 แบบ
- ข. 3 แบบ
- ค. 4 แบบ
- ง. 5 แบบ
เราเรียกวงจรแยกความถี่ของเครื่องขยายว่าอย่างไร
- ก. Negative Filter
- ข. Buffer Filter
- ค. Active Filter
- ง. Oszil Filter
- จ. Losecope Filter
วงจรบัฟเฟอร์ หรือเรียกอีกอย่างว่าวงจรใด
- ก.วงจรฟิลเตอร์
- ข.วงจรกันชน
- ค.วงจรทวีแรงดัน
- ง.วงจรยกระดับ
- จ.วงจรเรียงกระแส
อัตราการขยายแรงดันของวงจรบัฟเฟอร์มีค่าเท่าใด
- ก. AV = 1 เท่า
- ข. AV = 1.5 เท่า
- ค. AV = 2 เท่า
- ง. AV = 3 เท่า
- จ. AV = 3.5 เท่า
SCR เป็นชื่อย่อของอุปกรณ์
- ก. Silicon Control Recter
- ข. Silic Control Refactor
- ค. Siliner Control Recter
- ง. Silicnative Control Rectifier
- จ. Silicon Control Rectifier
เอสซีอาร์มีโครงสร้างเป็นสารกึ่งตัวนำกี่ตอน
- ก. 2 ตอน
- ข. 3 ตอน
- ค. 4 ตอน
- ง. 5 ตอน
- จ. 6 ตอน
เอสซีอาร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทใด
- ก.เฟต
- ข.ไทริสเตอร์
- ค.ทรานซิสเตอร์
- ง.ไอซี
- จ.ไดโอด
กระแสที่สามารถทำให้เอสซีอาร์นำกระแสได้ตลอดไปเรียกว่าอะไร
- ก.กระแสค้าง
- ข.กระแสเกต
- ค.กระแสโหลด
- ง.กระแสโฮลดิ้ง
- จ.กระแสคงที่
การวัดค่าความต้านทานของเอสซีอาร์ระหว่างขาใดให้ค่าความต้านทานต่ำสุด
- ก. G – K
- ข. K- A
- ค. A – G
- ง. A – K
- จ. K – A - G
การที่จะบังคับให้เอสซีอาร์นำกระแสได้มากหรือน้อย มีวิธีการอย่างไร
- ก.เลือกมุมจุดชนวนที่เกตให้เหมาะสม
- ข.เลือกระดับแรงดันให้เหมาะสม
- ค.กำหนดปริมาณกระแสไหลผ่านให้เหมาะสม
- ง.ลดกระแสแอโนดให้ต่ำกว่ากระแสโฮลดิ้ง
- จ.ลดค่าความต้านทานระหว่างขั้วแอโนด
เอสซีอาร์ต่างจากไดโอดธรรมดาอย่างไร
- ก.เอสซีอาร์นำกระแสได้ทิศทางเดียว
- ข.เอสซีอาร์สามารถใช้กับไฟกระแสตรงได้
- ค.เอสซีอาร์มีการเรียงกระแสที่ ควบคุมได้
- ง.เอสซีอาร์นำกระแสได้สองทาง
- จ.เอสซีอาร์นำกระแสได้ทุกทาง
โครงสร้างของเอสซีอาร์จะประกอบด้วยรอยต่อของสารกึ่งตัวนำอะไร
- ก.พี-เอ็น-เอ็น-พี
- ข.พี-เอ็น-พี-เอ็น
- ค.เอ็น-เอ็น-พี-พี
- ง.เอ็น-พี-เอ็น-พี
- จ.พี-เอ็น-เอ็น-เอ็น
การที่จะทำให้เอสซีอาร์หยุดนำกระแสได้ต้องทำอย่างไร
- ก.ลดค่ากระแสแอโนดให้ต่ำกว่า กระแสค้าง
- ข.ลดค่ากระแสแอโนดให้ต่ำกว่ากระแสยืด
- ค.ลดค่ากระแสแอโนดให้ต่ำกว่ากระแสแรงดัน
- ง.ลดค่ากระแสแอโนดให้ต่ำกว่ากระแสแอโนด
- จ.ลดค่ากระแสแอโนดให้ต่ำกว่ากระแสโฮลดิ้ง
การบังคับให้เอสซีอาร์ได้รับไบอัสกลับ คือวิธีการใด
- ก.แอโนด เคอเรนท์ อินเทอรัพชั่น
- ข.ไดโอด เคอเรนท์ อินเทอรัพชั่น
- ค.ฟอร์ช คอมมูเทชั่น
- ง. สวิตซ์ อินเทอรัพชั่น
- จ.แคโถด เคอเรนท์ อินเทอรัพชั่น
การตรวจสอบเอสซีอาร์ เพื่อให้สภาพดีหรือชำรุด ควรทำอย่างไร
- ก.ทดสอบการจุชนวนและกระแสยืด
- ข.วัดกระแสรั่วไหลระหว่างขา G และ A
- ค.วัดกระแสรั่วไหลระหว่างขา A และ K
- ง.ถูกทั้งข้อ ก และ ข
- จ.ถูกทั้งข้อ ก และ ค
การจุดชนวนเอสซีอาร์ต้องป้อนศักดิ์ไฟฟ้าที่ขาต่างๆ อย่างไร
- ก. A และ K เป็นลบ G เป็นบวก
- ข. A และ G เป็นลบ K เป็นบวก
- ค. A และ G เป็นบวก K เป็นลบ
- ง. A และ K เป็นบวก G เป็นลบ
- จ. A และ K เป็นลบ G เป็นลบ
การวัดกระแสรั่วไหลของเอสซีอาร์ควรใช้โอห์มมิเตอร์สเกลใด
- ก. R x 1K
- ข. R x 1
- ค. R x 10 K
- ง. R x 10
- จ. R x 15 K
กระแสใช้งานของเอสซีอาร์ไหลจากขั้วใดไปขั้วใด
- ก. G ไป K
- ข. K ไป A
- ค. A ไป G
- ง. A ไป K
- จ. G ไป A
.เทอร์มิสเตอร์ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอย่างไร
- ก.ตัวต้านทานแรงดัน
- ข.ตัวต้านทานความร้อน
- ค.ตัวเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
- ง.ตัวแรงดันกระแส
- จ.ตัวเปลี่ยนแปลงค่าความต้านทาน
เทอร์มิสเตอร์มีหลักการทำงานอย่างไร
- ก.ค่าความต้านทานเปลี่ยนแปลงตามเวลา
- ข.ค่าความต้านทานเปลี่ยนแปลงตามแรงดัน
- ค.ค่าความต้านทานเปลี่ยนตามอุณหภูมิ
- ง.ค่าความต้านทานเปลี่ยนตามแสง
- จ.ค่าความต้านทานเปลี่ยนตามค่าของกระแส
เทอรืมิสเตอร์ มีอักษรย่อว่าอย่างไร
- ก. TR
- ข. TH
- ค. TO
- ง. RS
- จ. TS
ข้อใดไม่ใช่สารกึ่งตัวนำที่ทำมาจากโลหะออกไซต์ สำหรับตัวต้านทานความร้อน
- ก.ทองแดง
- ข.ยูเรเนียม
- ค.โคบอลด์
- ง. แมงกานีส
- จ.อะลูมินัม
ลักษณะเด่นของตัวต้านทานที่แปรค่าตามแรงดัน คือ
- ก.ความต้านทานต่อกระแสมีมาก
- ข.ความต้านทานสูงขึ้นตามอุณหภูมิ
- ค.ความต้านทานกระแสจะมากหรือ น้อย ขึ้นอยู่กับความต้านทาน
- ง.ความต้านทานต่อแรงดันจะสมมาตรกัน
- จ.ความต้านทานเป็นเชิงเส้น
เมื่อแรงดันเพิ่มขึ้นค่าความต้านทานจะลดลง และกระแสจะเพิ่มขึ้นเป็นลักษณะของคลื่นใด
- ก.โซลิดสเตท
- ข.ไทริสเตอร์
- ค.ดิฟเฟอเรนเชียล
- ง.เอกซ์โพเนนเชียล
- จ.เลสเซอร์เนอร์
ก.ประมาณ 2 V ระดับแรงดันช่วงที่วาริสเตอร์ที่ทำมาจากไทเทเนียมออกไซต์
- ก.ประมาณ 2 V
- ข.ประมาณ 2.3 V
- ค.ประมาณ 2.5 V
- ง.ประมาณ 2.7 V
- จ.ประมาณ 2.9 V
เทอร์มิสเตอร์ที่นิยมใช้กันมีกี่แบบ
- ก. 1 แบบ
- ข. 2 แบบ
- ค. 3 แบบ
- ง. 4 แบบ
- จ. 5 แบบ
. ß เป็นค่าคงที่ที่มีค่าน้อยมากสำหรับวาริสเตอร์ที่ทำมาจาก
- ก.สังกะสีออกไซต์
- ข.โลหะออกไซต์
- ค.คาร์บอนมอนน็อกไซต์
- ง.ไทเทเนียมออกไซต์
- จ.อะลูมินัม
NTC หมายความว่าอย่างไร
- ก.เทอร์มิสเตอร์ที่มีค่าอุณหภูมิเป็นบวก
- ข.เทอร์มิสเตอร์ที่มีค่าอุณหภูมิเป็นลบ
- ค.เทอร์มิสเตอร์ที่มีค่าอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
- ง.เทอร์มิสเตอร์ที่ไม่แสดงค่า
- จ.ไม่มีข้อใดถูก
วาริสเตอร์มีหลักการทำงานอย่างไร
- ก.ค่าความต้านทานเปลี่ยนตามเวลา
- ข.ค่าความต้านทานเปลี่ยนตาม
- ค.ค่าความต้านทานเปลี่ยนตามแสง
- ง.ค่าความต้านทานเปลี่ยนตามแรงดัน
- จ.ค่าความต้านทานเปลี่ยนตามกระแส
ค่าความต้านทานของเทอร์มิสเตอร์มีค่าโดยประมาณอยู่ที่เท่าใด
- ก. 1 Ω - 10 Ω
- ข. 1 Ω - 100 kΩ
- ค. 100 Ω - 1 MΩ
- ง. 100 Ω - 10 MΩ
- จ. 100 Ω - 20 kΩ
วาริสเตอร์ที่ทำจากสังกะสีออกไซต์ จะนำไปใช้งานประเภทใด
- ก.การขจัดสัญญาณรบกวนที่เป็นพัลส์กำลังงานสูง
- ข.วงจรรักษาระดับแรงดัน
- ค.ป้องกันอุปกรณ์ที่มีแรงดันต่ำ
- ง.การใช้งานต่อเนื่อง
- จ.การใช้งานทั่วไป
การทำงานของวาริสเตอร์เหมือนอุปกรณ์ในข้อใด
กัน
- ก.ไดแอกและไทรแอก ต่ออนุกรม
- ข.ไดแอก 2 ตัว ต่ออนุกรมกัน
- ค.ซีเนอร์ไดโอด 2 ตัว ต่อหลังชนกัน
- ง.เอสซีอาร์ 2 ตัว ต่อขนานกัน
- จ.ไม่มีข้อใดถูก
.การใช้วาริสเตอร์ต้องคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง
- ก.ค่ากระแสวาริสเตอร์สูงสุด
- ข.ค่าแรงดันสูงสุด
- ค.ค่ากำลังงานที่กระจายในตัววาริสเตอร์
- จ.ถูกทุกข้อ
ไดแอกมีลักษณะโครงสร้างอย่างไร
- ก.สาร P – G 3 ชั้น
- ข.สาร P – G 2 ชั้น
- ค.สาร P – N 2 ชั้น
- ง.สาร P – N 3 ชั้น
- จ.สาร P – N 4 ชั้น
ไดแอกทำหน้าที่อย่างไร
- ก.ป้องกันแรงดันที่จะทำให้ไทรแอกชำรุด
- ข.ป้องกันการกระโชกของแรงดันไฟสลับ
- ค.ไทรแอก
- ง.เอสซีอาร์
- จ.ปรับระดับความร้อนของทรานซิสเตอร์
โครงสร้างของไดแอกมีลักษณะคล้ายกับอุปกรณ์
- ก.ไดโอด
- ข.ทรานซิสเตอร์
- ค.ไทรแอก
- ง.เอสซีอาร์
- จ.วาริสเตอร์
ไดแอกมีคุณสมบัติทำหน้าที่คล้ายอะไร
- ก.สวิตซ์ปิดเปิด 2 ทาง
- ข.สวิตซ์ปิดเปิด 1 ทาง
- ค.เป็นตัวจำกัดกระแส
- ง.ถูกทั้ง ก และ ข
- จ.ถูกทั้ง ข และ ค
ไดแอกแตกต่างจากทรานซิสเตอร์อย่างไร
- ก.ความเข้มของการโด๊ป
- ข.การนำกระแส
- ค.ลักษณะโครงสร้าง
- ง.การจำกัดกระแส
- จ.คุณสมบัติการเป็นสวิตซ์
การทำงานของไดแอกอาศัยการทำงานช่วงใด
- ก.แรงดันพังทลาย
- ข.กระแสไหลผ่านไดแอก
- ง.การจุดชนวนไทรแอก
- จ.การสลับขาใช้งาน
จากการทดลองค่าแรงดันที่ทำให้กระแสไหลได้อยู่ในช่วงใด
- ก. 8 – 10 V
- ข. 10 – 20 V
- ค. 20 – 28 V
- ง. 29 – 30 V
จากการทดลองค่าแรงดันที่ทำให้กระแสไหลได้อยู่ในช่วงใด
- 8 – 10 V
- 10 – 20 V
- 20 – 28 V
- 29 – 30 V
- 30 – 34 V
ไดแอกเหมาะที่จะนำไปเป็นตัวกระตุ้นกระแสให้กับอุปกรณ์ใด
- เฟต
- ยูเจที
- เอสซีอาร์
- ไดโอด
- ไทรแอก
ถ้าให้กระแสไหลผ่านไดแอกมากเกินไปจะเกิดอะไรขึ้น
- แรงดันจะเพิ่มมากขึ้น
- ไดแอกจะพัง
- ไดแอกจะทำงานได้ดีขึ้น
- แรงดันตกคร่อมไดแอกจะเท่าเดิม
- ไดแอกจะมีแรงดันต่ำ
ในขณะที่ไดแอกนำกระแสแรงดันตกคร่อมจะเป็นอย่างไร
- เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
- ลดลงเล็กน้อย
- ไม่เปลี่ยนแปลง
- ไดแอกทำงานปกติ
- ไดแอกจะพัง
GT – 32 แถบสีแดง มีแรงดันอยู่ในช่วงใด
- VBO = 27-37 V
- VBO = 30 -40 V.
- VBO = 38 – 48 V
- VBO = 56 – 70 V
- VBO = 67 – 70 V.
ถ้าป้อนไฟบวก (+) เข้า A1 และลบ (-) เข้า A2 ไดแอกจะอยู่ในสภาวะใด
- ไบอัสตรง
- ไบอัสกลับ
- สภาวะพังทลาย
- ไดแอกนำกระแส
- แรงดันเพิ่มมากขึ้น
เพราะเหตุใดไดแอกเหมาะที่จะเป็นตัวจุดชนวนให้ไทรแอก
- มีแรงดันสูง
- มีความต้านทานกระแสค่อนข้างต่ำ
- นำกระแสได้ทั้งสองด้าน
- สามารถเพิ่มแรงดันไบอัสให้สูงขึ้นเรื่อยๆได้
- สามารถเพิ่มแรงดันไบอัสให้
การตรวจสอบไดแอกด้วยโอห์มมิเตอร์เป็นการตรวจสอบหาอะไร
- ตรวจหาขาของไดแอก
- ตรวจหาแรงดันพัง
- ตรวจเช็คสภาพว่าไดแอกนั้นดีหรือเสีย
- ตรวจว่าช็อตหรือไม่
- ตรวจการรั่วไหลของกระแสไดแอก
ตรวจสอบไดแอกที่สมบูรณ์ต้องทำอย่างไร
- ป้อนแรงดันไบอัสตรงให้กับไดแอก
- ป้อนแรงดันไบอัสกลับให้กับไดแอก
- ใช้มิเตอร์วัดในขณะที่ไม่มีไบอัสให้กับกระแส
- ป้อนแรงดันไบอัสให้กับไดแอกตามค่าแรงดันพังของไดแอก
- ถูกทุกข้อ
ไทรแอกที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของอุปกรณ์ใด
- ไดโอด
- ยูเจที
- ทรานซิสเตอร์
- วาริสเตอร์
- เอสซีอาร์
เราสามารถแบ่งการทำงานของไทรแอกได้เป็นกี่ควอทแดรนท์
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
TRIAC ย่อมาจากคำว่าอะไร
- DIODE
- TRIAC – DC
- TRIODE – AC
- DIODE – AC
- TRIA – AC
ไทรแอกทำงานเป็นสวิตซ์จะดีกว่าสวิตซ์แบบกลไกในข้อใด
- ทำงานได้รวดเร็ว
- ไม่มีการสัมผัสกันของหน้าสัมผัส
- ไม่มีประกายไฟ
- ควบคุมการทำงานได้ง่าย
- ถูกทุกข้อ
ค่ากระแสแอโนดลดลงจนถึงค่ากระแสต่ำสุดที่ยังคงทำให้ไทรแอกนำกระแสได้ ค่ากระแสต่ำสุดนี้
มีชื่อเรียกว่าอะไร
- รงดันพังทลาย
- พัลส์
- โฮลดิ้ง
- เอาต์พุต
- กระแสต่ำสุด
การให้ไบอัสไทรแอกนำกระแสข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง
- จ่ายไฟบวกให้กับ A2 จ่ายไฟลบให้กับ A1 และจ่ายไฟลบให้ G
- จ่ายไฟลบให้กับ A2 จ่ายไฟบวกให้กับ A1 และจ่ายไฟลบให้ G
- จ่ายไฟบวกให้กับ A2 จ่ายไฟลบให้กับ A1 และจ่ายไฟบวกให้ G
- จ่ายไฟลบให้กับ A2 จ่ายไฟลบให้กับ A1 และจ่ายไฟบวกให้ G
- ข้อ ก และ ค กล่าวไม่ถูกต้อง
เหตุใดการทดสอบกระแสโฮลดิ้งจึงต้องใช้โอห์มมิเตอร์สเกล R x 1
- การจุดชนวนต้องใช้แรงดันต่ำ
- การจุดชนวนต้องใช้แรงดันสูง
- เพื่อให้กระแสจากมิเตอร์มากกว่ากระแสโฮลดิ้ง
- เพื่อให้กระแสจากมิเตอร์น้อยกว่ากระแสโฮลดิ้ง
- ข้อ ก และ ค ถูก
ทราบได้อย่างไรว่าไทรแอกถูกจุกชนวนแล้ว
- ค่าความต้านทานระหว่างขา A1 – A2 ลดลง
- ค่าความต้านทานระหว่างขา A1 – A2 สูงขึ้น
- ค่าความต้านทานระหว่างขา G – A2 สูงขึ้น
- ค่าความต้านทานระหว่างขา A1 – K ลดลง
- ค่าความต้านทานระหว่างขา A1 – G สูงขึ้น
ให้สมมุติว่าขาใดขาหนึ่งเป็นขาเกต แล้วทำการจุดชนวนโดยใช้ไฟจากขาแอโนด 2 (A2) เข็มมิเตอร์จะชี้ที่ค่าความต้านทานเท่าไร
- 5 Ω
- 10 Ω
- 15 Ω
- 20 Ω
- 25 Ω
เมื่อไทรแอกนำกระแสแล้วจะทำให้หยุดนำกระแส ข้อใดไม่ถูกต้อง
- ตัดแหล่งจ่ายไฟที่จ่ายให้ขา A2 และขา A1 ออกชั่วขณะ
- ช็อตขา A2 และขา A1 ชั่วขณะ
- ลดกระแสไหลเข้าขา A2 และขา A1 ต่ำกว่ากระแสโฮลดิ้ง
- ช็อตขา G ลงกราวด์
- จ.ตัดกระแสไหลผ่านขา A2 และขา A1